วันอังคารที่ 12 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

ค่ายวิชาการ Art For Life

                                     ค่ายวิชาการ  Art For Life  โรงเรียนราษฎร์บำรุงวิทยา



ศิลปะ คืออะไร ?

    หากจะถามถึงความหมายที่แท้จริงของ "ศิลปะ" แน่นอนที่สุดเราจะพบว่า มีความหมายแตกต่างแยกกันออกไปหลายความหมายด้วยกัน ซึ่งแล้วแต่ว่าบุคคลนั้นๆ จะมองศิลปะในแง่มุมใด ภายใต้หลักการหรือทฤษฎีใด ซึ่งมุมมองที่ต่างกันนี้เอง ทำให้เราได้คำนิยามของศิลปะที่แตกต่างกันออกไป

    อย่างไรก็ตาม ฮาโรลด์ เอ็ช ติตุส (Harold H. Titus) ได้ค้นคว้า และรวบรวมทฤษฎีศิลปะ (Theories of Art) ไว้ซึ่งพบว่ามีทั้งหมด 7 ทฤษฎัด้วยกัน ซึ่งการให้ความหมายของศิลปะก็แตกต่างกันไปตามแนวคิดหลักของทฤษฎีดังกล่าวนี้ ซึ่งทฤษฎีศิลปะทั้ง 7 ทฤษฎี มีดังต่อไปนี

        1.  ศิลปะ คือ การเลียนแบบ (Art as Imitation)
                 
            ทฤษฎีนี้เป้นทฤษฎีเก่าแก่ มีมาตั้งแต่สมัยกรีกโบราณ โดยมีพื้นฐานความคิดมาจากเพลโต (Plato) และอริสโตเติล (Aristotle) ซึ่งถือว่าการเลียนแบบวัตถุธรรมชาติได้อบ่างสมบูรณ์ครบถ้วน จัดว่าเป็นสิ่งสวยงามที่สุด ดังนั้นความคิดแก่นของทฤษฎีนี้ การเลียนแบบวัตถุธรรมชาติอะไรบางอย่าง การเลียนแบบที่ปรากฏออกมาก็คือศิลปะ นั่นเอง

        2.  ศิลปะ คือ ความพึงพอใจ (Art as Pleasure)

            ทัศนะนี้มองว่า ศิลปินคือบุคคลซึ่งพึงพอใจในความงามและใช้เวลาของเขาสร้างสิ่งสวยงาม ศิลปินจึงพึงพอใจในงานของตัวเอง และยังหวังให้บุคคลอื่นพึงพอใจใในผลงานของตนด้วย ดังนั้น ความหมายของศิลปะก็คือ การให้ความพึงพอใจทางสุนทรียะ

        3.  ศิลปะคือการเล่น (Art as Play)
             
             ความคิดที่ว่า ศิลปะคือรูปแบบของการเล่นนี้ เริ่มจากแนวคิดของ คานต์ (Kant) จากนั้นชิลเลอร์ (Schiller) นำมาปฏิบัติ และสเปนเซอร์ (Spencer) นำไปพัฒนาต่อไปจนกลายเป็นทฤษฎีที่เรียกกันว่า "Spieltrieb" หรือเรียกว่า ทฤษฎีแรงกระตุ้นให้เล่น ทั้งนี้ การเล่นนั้นถือว่าเป็นการแสดงออกที่เกิดจากชีวิตจิตใจจิงต่างไปจากกิจกรรมที่เป็นงาน (Work) ของมนุษย์แต่ให้ความพึงพอใจสูง
             สเปนเซอร์ ถือว่า ศิลปะคือการแสดงออกของพลังงานส่วนเกินเช่นเดียวกับการเล่น ศิลปะก็คือการแสดงออกซึ่งเกิดขึ้นเองของพลังที่สำคัญแก่ชีวิต ซึ่งมีจุดมุ่งหมายที่ไม่คำนึงถึงประโยชน์




       4.  ศิลปะ คือ อันตรเพทนาการ (Art as Empathy)

             อันตรเพทนาการ หมายถึง ท่าทีของประสาทที่รู้สึกคล้อยตามซึ่งเกิดกับผู้กำลังชมศิลปวัตถุ ทั้งนี้ อันตรเพทนาการเป็นการสร้างจินตนาการของผุ้ชมให้เป็นอันหนึ่งอัน้ดียวกันกับศิลปวัตถุ โดยการถ่ายทอดความรู้สึกและการตอบสนองของผู้ชมลงไปในศิลปวัตถุ

       5.  ศิลปะ คือ การสื่อสาร (Art as Communication)

             นักปราชญ์จำนวนมากคิดว่า การสื่อสารเป้นสิ่งที่ขาดไม่ได้ แท้จริงแล้วเป้นหัวใจของศิลปะ ซึ่ง เลโอ ตอลสตอย (Leo Tolstoy)  กล่าวไว้ว่า
             "...ศิลปะ คือการสื่อสารของอารมณ์ที่เกิดขึ้นแก่บุคคลหนึ่งให้แก่บุคคลอื่นๆ ที่มีอารมณ์อย่างเดียวกัน โดยการใช้เส้น สี เสียง การเคลื่อนไหว หรือคำพูด อารมณ์ยิ่งรุนแรงเพียวใด ศิลปะก็ยิ่งดีเพียงนั้น..."

       6.  ศิลปะ คือ การแสดงออก  (Art as Expression)
้             
             ทฤษฎีนี้ถือว่า วัตถุประสงค์ของศิลปะอยู่ที่การแสดงอารมณ์ภายในของมนุษย์ออกมาให้ปรากฏ แม้ว่า ศิลปะเป็นการแสดงออกซึ่งอารมณ์ก้ตาม แต่การแสดงอารมณ์ทุกอย่างก็มิได้เป็นศิลปะไปเสียทั้งหมด



       7. ศิลปะ คือ คุณลักษณะของประสบการณ์ (Art as a Quality of Experience)

            จอห์น ดิวอี้ (John Dewey) กล่าวว่า ศิลปะคือคุณลักษณะซึ่งแหรกอยู่กับประสบการ ซึ่งพบได้ในประสบการณ์ทั่วไปของเรานี่เอง ลักษณะทางสุนทรีย์มีอยู่ในประสบการณ์ทั่วไปทั้งหมด





ศิลปะสำหรับเด็กปฐมวัย

          ศิลปศึกษาเป็นกิจกรรมสร้างสรรค์ที่มีความสำคัญต่อการเรียนรู้ของเด็กในวัยปฐมวัย 
เพราะประสบการณ์ทางศิลปะนั้น  ไม่เพียงส่งเสริมการริเริ่มสร้างสรรค์เท่านั้น  หากยังช่วยส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็กในลักษณะบูรณาการ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าการจัดประสบการณ์และ กิจกรรมในลักษณะนี้มีคุณค่าและเอื้อต่อเด็กมากที่สุด  ประสบการณ์ศิลปะส่งเสริมพัฒนาการและทักษะของเด็ก ดังนี้
พัฒนาการทางด้านร่างกาย : พัฒนาการทางด้านกล้ามเนื้อใหญ่และกล้ามเนื้อเล็ก และพัฒนาประสาทสัมพันธ์ระหว่างตากับมือ
พัฒนาการทางด้านสังคม : มีทักษะในการทำงานร่วมกับผู้อื่นเรียนรู้จากกันและกัน (cooperative learning)  แลกเปลี่ยนและยอมรับความคิดเห็นของผู้อื่น   การรู้จักแบ่งปัน
พัฒนาการทางด้านอารมณ์-จิตใจ : สร้างความเชื่อมั่นในตนเอง  (confidence) เห็นคุณค่าและภูมิใจในตนเอง (self- esteem)  การคิดดีและชื่นชมในผลงานของผู้อื่น  สร้างวินัยและความรับผิดชอบ  มีสุนทรียภาพ
พัฒนาการทางด้านสติปัญญา : มีความคิดสร้างสรรค์และจินตนาการ  รู้จักแก้ปัญหา  ทำงานแบบมีระบบ (วางแผน ตัดสินใจ และลงมือปฏิบัติ) รู้จักคิดและชี้แจงเหตุผล  สังเกต และเปรียบเทียบ ใช้สัญลักษณ์แทนวัตถุหรือประสบการณ์ในการสื่อความหมาย (ซึ่งเป็นขั้นตอนที่สำคัญอย่างยิ่งในพัฒนาการทางด้านการคิดของเด็ก) มีทักษะทางด้านภาษา  ด้านคณิตศาสตร์  และด้านวิทยาศาสตร์
            คุณครูเป็นส่วนสำคัญในการจัด ประสบการณ์ทางศิลปะที่ส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้านของเด็ก  ฉะนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่คุณครูต้องความเข้าใจการจัดกิจกรรมและบทบาทของตน



การจัดประสบการณ์ทางด้านศิลปะ
            1.จัดเตรียมสถานที่และอุปกรณ์ ให้พร้อม และพอเพียงต่อความต้องการ ของนักเรียน  ในการเตรียมสถานที่นั้น  คุณครูควรจัดเนื้อที่ให้นักเรียนทำงานและเคลื่อนไหวได้สะดวก และปลอดภัย  อุปกรณ์ที่จัดให้ควรมีเพียงพอต่อนักเรียน เช่น ถ้ามีนักเรียน 5 คนที่วาดรูปด้วยสีโปสเตอร์  คุณครูควรที่จะเตรียมพู่กัน 5 อัน และจัดสี 1 ชุด ต่อนักเรียน 1-2 คน เพื่อที่เด็กจะได้ไม่ต้องรอคิวนาน และรีบเร่งทำงานเพื่อที่จะแบ่งอุปกรณ์ให้กับเพื่อนที่รออยู่ หากในห้องเรียนมีอุปกรณ์น้อย  คุณครูควรที่จะกำหนดจำนวนนักเรียนที่จะเข้าร่วมในกิจกรรม  และใช้วิธีผลัดกัน
            2.กิจกรรมที่จัดควรเป็น กิจกรรมปลายเปิด  เช่น  ระบายสีด้วยสีเทียน และสีโปสเตอร์ตามอิสระ เพื่อที่นักเรียนจะได้เรียนรู้การใช้อุปกรณ์ด้วยตนเอง มีอิสระในการสร้างสรรค์ใช้ความคิดได้อย่างเต็มที่รู้จักที่จะเลือกและตัดสินใจ(เลือกว่าจะวาดอะไร) และเรียนรู้ที่จะสื่อความคิดตนออกมาในรูปแบบที่ตนต้องการ
            3.กิจกรรมที่จัดควรมีความ เหมาะสมกับวัยและพัฒนาการ  (Developmental Appropriate) ในการจัดกิจกรรม คุณครูควรคำนึงถึงพัฒนาการของผู้เรียนกิจกรรมศิลปะควรมีความเหมาะสมต่อความสามารถของเด็กในวัยนั้นๆ กิจกรรมบางอย่างถึงแม้ว่าเป็นกิจกรรมศิลปะให้เด็ก แต่มันอาจจะไม่เหมาะกับเด็กในวัยปฐมวัย เช่น การพับกระดาษเป็นรูปต่างๆตามที่กำหนดไว้ (origami) จัดว่าไม่เหมาะสมสำหรับเด็กในวัยปฐมวัย เนื่องจากมีขั้นตอนหลายขั้นและซับซ้อน ซึ่งเป็นกิจกรรมที่นักเรียนต้องทำตามรูปแบบที่กำหนดขั้นโดยดูครูเป็น ตัวอย่าง และนักเรียนส่วนมากไม่สามารถทำทุกขั้นตอนได้ด้วยตนเองและต้องรับความช่วยเหลือจากครูเกือบตลอดเวลาซึ่งบางทีครูกลายเป็นคนพับเสียเองการที่นักเรียนส่วนมากต้องการความช่วยเหลือตลอดกิจกรรมนั้นแสดงให้เห็นว่าพัฒนาการของเด็กยังไม่พร้อมที่เขาจะทำงานประเภทนี้ได้ 
            4.Process not  product  คุณครูควรเน้นที่กระบวนการมากกว่าผลงาน  ระหว่างที่นักเรียนทำกิจกรรมศิลปะ  เขาได้ใช้กระบวนการการคิดต่าง ๆ  เพื่อที่จะสื่อความรู้สึกนึกคิดลงบนกระดาษ  การเรียนรู้นั้นเกิดขึ้นระหว่างการทำงาน  ผลงานเป็นเพียงผลลัพธ์ที่ได้จากการทำงาน 
            5.ตั้งความคาดหวังให้เข้ากับ วัยของนักเรียน  เป็นเรื่องปกติที่คุณครูจะคาดหวังในนักเรียนของตน  หากแต่ความคาดหวังที่ตั้งขึ้นนั้นควรมีความเหมาะสมกับวัย เช่นเด็กวัย 3 ปี ยังเป็นช่วงเวลาที่เด็กเริ่มสนใจและเรียนรู้วิธีการใช้อุปกรณ์เครื่องเขียนต่างๆกล้ามเนื้อมือนั้นยังไม่แข็งแรงพอที่จะบังคับทิศทางของอุปกรณ์ได้อย่างคล่องแคล่วแม่นยำ การที่คุณครูคาดหวังให้เด็กในวัยนี้ระบายสีโดยไม่ออกนอกเส้นหรือวาดรูปเป็นรูปร่างเจาะจงนั้นคุณครูสร้างความคาดหมายที่ไม่เหมาะสมกับพัฒนาการของเด็กในวัยนั้น  ดังนั้นในการที่ครูจะรู้ว่าจะจัดกิจกรรมอย่างไรให้เหมาะสม  ครูต้องมีความเข้าใจและความรู้เรื่องพัฒนาการของผู้เรียนของตนและมีความรู้เรื่องการจัดกิจกรรมศิลปะเพื่อที่จะตั้งเป้าหมายและความหวังให้เข้ากับผู้เรียน
            6.ให้ความสนใจและคุณค่าต่อ กระบวนการทำงานและผลงานของนักเรียน ซึ่งทำได้โดย พูดคุยกับนักเรียน  และมีการนำเสนอผลงาน การที่คุณครูนำเสนอผลงานของนักเรียนโดยการติดไว้ในที่บอร์ดในห้อง บ่งบอกให้นักเรียนรับรู้ว่า  งานของเขามีคุณค่าซึ่งจะทำให้เขาจะรู้สึกชื่นชมและภูมิใจในความสามารถของตน การพูดเป็นอีกวิธีหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงความสนใจของครูที่มีต่อการทำงานของนักเรียน  ซึ่งเฌอเม็คเคอร์ (1986) แนะนำว่าในการสนทนากับเด็ก คุณครูควรให้เด็กพูดและแสดงความคิดเห็นของตนโดยที่ครูไม่ควรที่จะเปรียบเทียบหรือแก้ไขผลงานของเด็กและแนะนำว่าเวลาพูดคุยกับเด็กเกี่ยวกับงานศิลปะ  ครูควรพูดถึงวิธีการใช้อุปกรณ์  และการใช้องค์ประกอบทางศิลปะ (elements of art) ในการวาดภาพ เช่นการใช้สี วิธีการวาดลายเส้น รูปทรง การจัดวางช่องว่างและใช้เนื้อที่(space) เป็นต้น  (Schirrmacher, 1986) ตัวอย่าง เช่น “ในภาพนี้ คุณครูสังเกตว่า  มีเส้นหลายชนิด มีเส้นตรงข้างบน  เส้นโค้งบนมุมขวามือ ...” “หนูใช้ความพยายามมากเลยในการตัดกระดาษให้เป็นสามเหลี่ยมอันเล็ก ๆ” “ครูสังเกตว่าเวลาหนูวางขนแปรงให้แบนบนกระดาษและลากเส้นลงมา เส้นที่ออกมาจะหนา” เป็นต้น  การที่ครูพูดถึงงานของเด็กในลักษณะนี้   เป็นการส่งเสริมทักษะทางด้านภาษา และแสดงให้เด็กเห็นว่าตัวครูมีความสนใจในกระบวนการทำงาน และให้คุณค่าต่องานของเขา  ซึ่งทำให้เด็กรู้สึกภูมิใจในตนเอง  เชื่อมั่นในความสามารถและทักษะของตน  
            7.สนทนากับนักเรียน เรื่องการดูแลรักษา  การใช้อุปกรณ์   และกติกาในการปฏิบัติกิจกรรม  ในระยะเริ่มต้น  ก่อนที่จะทำกิจกรรม  ครูควรที่จะพูดคุยให้เหตุผลกับนักเรียนเกี่ยวกับการดูแลรักษาอุปกรณ์  เช่น  การที่จะให้นักเรียนทำการตัดแปะ  ครูอาจจะพูดและสาธิตให้นักเรียนดูว่า เมื่อใช้กรรไกรเสร็จแล้ว  ควรเก็บไว้ในตะกร้าเหมือนเดิม  หรือใช้ความผิดพลาดเป็นบทเรียน เช่น ถ้าครูเห็นนักเรียนเหยียบกรรไกร  คุณครูควรอธิบายให้เด็กเข้าใจว่าทำไมไม่ควรเหยียบ  และสอนให้นักเรียนรู้จักช่วยกันรักษาสมบัติของห้องเรียน 
            8.กำหนดเวลาให้เหมาะสม  กิจกรรมศิลปะควรจัดให้เป็นกิจกรรมประจำวัน เนื่องจากเป็นกิจกรรมที่เด็กให้ความสนใจมาก และเป็นส่งเสริมพัฒนาการทั้ง 4 ด้าน และทักษะทางด้านต่าง ๆ ซึ่งในการจัดกิจกรรม ครูควรตั้งเวลาให้เหมาะสมกับกิจกรรม การที่ครูตั้งเวลาไว้น้อยและเร่งเด็กให้ทำงานเสร็จภายในเวลาอันสั้นนั้น สิ่งที่สื่อออกมา คือ  กระบวนการทำงานนั้นไม่สำคัญเท่าการทำให้เสร็จในเวลา  ดังนั้น   เด็กก็จะรีบทำงานให้  เสร็จ ๆ ไป และไม่ใส่ใจในการทำงาน  เป็นปกติที่เด็กแต่ละคนจะใช้ระยะเวลาในการปฏิบัติกิจกรรมแตกต่างกัน ดังนั้นคุณครูควรมีความยืดหยุ่นในเวลา  ถ้านักเรียนทำงานไม่เสร็จ  คุณครูอาจจะให้เวลาเพิ่มเติม หรือให้เขาเก็บงานไว้ทำในวันต่อไป
            9.ให้นักเรียนมีส่วนร่วม (Students’ Involvement) นักเรียนควรมีส่วนร่วมในการจัดเตรียม และทำความสะอาด เช่น ช่วยหยิบและเก็บกระดาษ  และตะกร้าใส่ดินสอสี  หรือช่วยเช็ดโต๊ะ  เพื่อที่เขาจะได้รู้จักการช่วยเหลือตนเอง  และเข้าใจถึงหน้าที่และรับผิดชอบต่อตนเอง ผู้อื่น และห้องเรียน 




ข้อควรระวังในการจัดประสบการณ์ศิลปะ
            1.ให้คะแนน หรือรางวัล เช่น ดาว สติกเกอร์ เป็นต้น  การให้คะแนนหรือรางวัลนั้น  คุณครูบางท่านอาจจะมองว่า  เป็นการสร้างแรงเสริมให้กับเด็กแต่ในทางกลับกัน สิ่งที่เด็กจะได้ก็คือ ความไม่กล้าที่จะลองเพราะกลัวว่าออกมาไม่สวย  ได้คะแนนไม่ดี  ความกลัวว่าผลงานของตนจะไม่ดีพอไม่สวยพอ  เปรียบเทียบและแข่งขันกับเพื่อน  นอกจากนี้ยังทำให้เด็กคิดว่าการทำงานต้องมีผลทางวัตถุตอบแทน จึงให้ความสนใจที่ผลตอบแทนมากกว่ากระบวนการเรียนรู้และยังจำกัดความคิดและสร้างสรรค์อย่างอิสระ
            เนื่องจากนัก เรียนมุ่งหวังที่จะสร้างผลงานให้ถูกใจครู  เพื่อที่จะได้รับคะแนนดีหรือรางวัล  ซึ่งจริง ๆ แล้วศิลปะนั้นถือว่าเป็นการสื่อสารความรู้สึกนึกคิดอย่างหนึ่งของแต่ละบุคคล  ดังนั้นศิลปะไม่ควรถูกมองว่ามีถูกหรือผิด  มีสวยมากหรือสวยน้อย มีดีมากหรือดีน้อย การที่เราให้คะแนนหรือรางวัล  ถือว่าเป็นการตั้งกฎเกณฑ์เพื่อตัดสินความคิด ซึ่งเกณฑ์ดังกล่าวนั้นไม่มีมาตรฐานเพราะขึ้นอยู่กับความคิดและความพอใจของผู้สอนแต่ละบุคคลจึงไม่ควรอย่างยิ่งที่ครูจะตัดสินผลงานของเด็กด้วยการให้คะแนน หรือรางวัล 

            2.ให้นักเรียนระบายสี และตัดแปะกระดาษในกรอบ  ศิลปะเป็นการสื่อความคิด ความรู้สึก ความเข้าใจ  โดยใช้อุปกรณ์ต่างๆสื่อสิ่งเหล่านั้นออกมาเป็นรูปธรรม   การให้นักเรียนทำงานศิลปะที่มีกรอบกำหนดนั้น (pre-draw)  เป็นการจำกัดความคิดสร้างสรรค์อย่างมากเนื่องจากรูปถูกกำหนดตายตัวไว้แล้วนักเรียนไม่สามารถจะปรับเปลี่ยนตามจินตนาการของตนได้  และต้องทำตามแบบฉบับที่ถูกกำหนดไว้
            ครูควรคำนึงว่า  งานศิลปะนั้นเป็นงานที่ส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์  ไม่ใช่ กิจกรรมที่เน้นความสวยงามในแบบที่ผู้ใหญ่คาดหวังไว้กิจกรรมศิลปะควรเป็นกิจกรรมปลายเปิดที่ให้นักเรียนได้ลงมือปฏิบัติ  และสร้างสรรค์ผลงานตามความรู้สึกของตน

            3.ใช้กระดาษที่ตัดเป็นรูปร่าง สำเร็จแล้ว  การใช้กระดาษที่ตัดเป็นรูปร่างสำเร็จ (pre-cut shapes) ในการตัดแปะนั้น  สิ่งที่เด็กจะได้รับก็คือ การรู้จักแปะรูปด้วยกาว และการจัดวางเพื่อให้เกิดความเหมือน  กิจกรรมในลักษณะนี้เป็นงานที่จำกัดความคิดสร้างสรรค์และเน้นเพียงความสวยงามและความเหมือนซึ่งขึ้นอยู่กับความพอใจและความคิดของผู้สอน  กิจกรรมไม่ได้สนับสนุนการเรียนรู้ของเด็กดังนั้นคุณครูควรหลีกเหลี่ยงการตัดกระดาษสำเร็จรูปให้นักเรียนควรให้นักเรียนฉีก ตัด กระดาษเป็นรูปร่าง ต่าง ๆ ตามความคิดส่วนตัว

            4.วาด รูปเป็นตัวอย่างให้เด็กดูเป็นตัวอย่าง  การที่คุณครูวาดภาพให้เด็กดูเป็นตัวอย่างนั้น  ส่งถึงผลเสียมากกว่าผลดี  เพราะเป็นธรรมดาที่เด็กนั้นจะชื่นชมผลงานของครู  และต้องการที่จะสร้างสรรค์ผลงานให้ได้เหมือนกับของผู้ใหญ่ และเมื่อเขาไม่สามารถทำให้เหมือนได้  เขาก็จะรู้สึกท้อแท้ ผิดหวังในตนเอง และจะทำให้เขารู้สึกไม่ดีต่อกิจกรรมนั้น ๆ และต่อตนเอง    

            5.ช่วยแก้ปัญหา  โดยการทำให้เวลาที่นักเรียนวาดอะไรไม่ได้  บางทีคุณครูก็จะช่วยด้วยการทำให้ซึ่งวิธีนั้นทำให้นักเรียนไม่รู้จักอดทนต่อการแก้ปัญหา และไม่พยายามเรียนรู้ที่จะแก้ปัญหาด้วยตนเอง  ถ้านักเรียนวาดรูปไม่ได้  ครูควรพูดแนะนำเพื่อทำให้ขั้นตอนการวาดง่ายขึ้น  และใช้คำถามกระตุ้นเพื่อเด็กคิด  เช่น “หน้าของหมามีรูปทรงอย่างไง เป็นสี่เหลี่ยม หรือวงกลม และตัวหมาเป็นรูปทรงอะไร  ” หรือ ให้แนะนำให้เด็กรู้จักการค้นคว้าและหาข้อมูลรอบตัวในการแก้ปัญหา เช่น  “เราลองไปหารูปหมาในหนังสือเป็นตัวอย่างดีไหม  บางทีการที่เราได้เห็นรูป ”

















วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

Infographic


เทคโนโลยีสารสนเทศเพื่อการศึกษา




องค์ประกอบสำคัญของระบบคอมพิวเตอร์




คุณธรรมจริยธรรมในการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศ



เครื่องมือในการจัดการเรียนรู้



ข้อมูลและสารสนเทศ




นวัตกรรมและเทคโนโลยีสารสนเทศทางการศึกษา

วันอังคารที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2559

เตือนพ่อแม่อย่ารักลูกมากไป! โรคฮิตเด็กรุ่นใหม่ “โรคไม่รู้จักความลำบาก”!! ภัยเงียบที่ฆ่าคนทั้งเป็น

       เด็กในสังคมยุคปัจจุบันแทบจะมีทุกอย่างที่ผู้ใหญ่มีกัน  ทั้งที่ยังไม่ต้องทำงาน แต่ก็มีพร้อมทุกอย่างเพราะพ่อแม่หาให้ ไม่ว่าจะเป็น สมาร์ทโฟน ไอแพด รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ ทำให้เด็กไทยมีโรคใหม่ติดตัวที่ชื่อว่า โรคไม่รู้จักความลำบาก โรคนี้คืออะไร ตามมาดู

โรคไม่รู้จักความลำบาก โรคใหม่ที่เกิดขึ้นสำหรับเด็ก ๆ และจะกลายเป็นปัญหาต่อการเติบโตหากพ่อแม่ไม่ได้เลือกสร้างภูมิคุ้มกันของความลำบากให้ลูก ไม่เลือกให้ลูกได้ออกไปพบเจอโลกของความจริงที่ว่า ชีวิตแม้ว่าจะรวยหรือจนก็ไม่มีใครสบายได้ตลอดไป ต้องมีความลำบาก ความทุกข์ เกิดขึ้นปะปนกันไป ดังนั้น การเลือกสอนให้ลูกรู้จักกับความลำบาก ฝึกลูกให้มีหน้าที่รับผิดชอบ รู้การแบ่งปัน การให้ และเรียนรู้ หรือพยายามทำด้วยตัวเองได้ตั้งแต่เด็กย่อมเป็นสิ่งที่ดี


สาเหตุที่เด็กถึงเป็นโรคไม่รู้จักความลำบาก

1. เทคโนโลยีครอบงำ
ปฏิเสธไม่ได้ว่าเทคโนโลยีในปัจจุบันอย่างการใช้สมาร์ทโฟน แทปเล็ต ได้กลายมาเป็นสื่อที่มีบทบาทกับเด็ก ๆ ตั้งแต่ตัวเล็กในยุคดิจิตอล และมีอิทธิพลมากขึ้นกว่าในสมัยก่อน ซึ่งมีให้เลือกหลายแบบ หลายราคาที่จับต้องได้ ทำให้พ่อแม่ยุคใหม่หยิบยื่นให้ลูกใช้ง่าย ๆ ทั้งๆ ที่ยังไม่ถึงเวลาอันสมควร และไม่พยายามปฏิเสธหรือเบี่ยงเบนความสนใจให้ลูกไปทำกิจกรรมอย่างอื่น

Kids playing at home with smartphones 

2.อยากให้ลูกสบายจนทำร้ายลูกโดยไม่รู้ตัว
การมีพี่เลี้ยงไว้คอยดูแลลูกน้อย เพื่อแบ่งเบาภาระหน้าที่อันเหนื่อยหนักของพ่อแม่ โดยไม่ยอมสอนลูกให้ลองทำอะไรด้วยตัวเอง จนลูกไม่สามารถทำอะไรเป็นได้ เมื่อเติบโตขึ้นในสังคม เช่น เริ่มต้นเข้าโรงเรียนก็จะกลายเป็นภาระให้กับบุคคลรอบข้างที่ต้องคอยช่วยเหลือ

1289.3 1289.2


3.กางปีกปกป้องลูกมากเกินไป
เพราะความกังวลเกรงว่าจะเกิดอันตรายกับลูกรัก จึงไม่หาโอกาสพาลูกออกไปเปิดประสบการณ์ต่อโลกภายนอก และจำกัดที่ทางให้ลูกอยู่ภายใน comfort zone ยอมให้ลูกนั่งดูทีวี เปิดยูทูป เล่นเกมในไอแพด ซึ่งเป็นการปิดโอกาสให้เด็กเรียนรู้กับสังคมภายนอก และไม่รู้จักกับการแยกแยะความแตกต่างระหว่างคนดีกับคนไม่ดี ขาดการสังเกตและเรียนรู้

4.ไม่ยอมปล่อยให้ลูกลำบาก เพราะตนเองเคยลำบากมาก่อน
เพราะไม่อยากให้ลูกมีชีวิตเหมือนที่ตนเองเคยเป็นมาก่อน พอฐานะดีขึ้นจึงส่งเสริมและเลี้ยงลูกด้วยวัตถุ เงินทอง ฯลฯ เหล่านี้จะทำให้เด็กกลายเป็นคนขาดความอดทน ไม่มีความมั่นคงในจิตใจ อ่อนแอ และแข็งกระด้าง
5.ใช้ชีวิตติดสื่อยุคใหม่
จริงอยู่ว่าสื่อยุคใหม่ทำให้การเรียนรู้ทางสมองของเด็กพัฒนาไวมากขึ้น จะท่อง กอไก่ ขอไข่ เปิดยูทูปดูได้เลย พ่อแม่ไม่ต้องมาคอยนั่งสอน แต่ด้วยเทคโนโลยีที่เข้าถึงอย่างรวดเร็ว และมีการนำเสนอรูปแบบการใช้ชีวิตที่ดูสวยหรูผ่านสื่อทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นโทรทัศน์ หรือสื่อออนไลน์อย่างเฟซบุ๊ค อินสตาแกรม ทวิตเตอร์ มีการโชว์และแชร์ถ่ายภาพ อวดของหรู ชูของสวย ด้วยอิทธิพลของสื่อเองและการเลี้ยงลูกแบบตามใจมาก่อน ทำให้เด็กเกิดความอยากได้อยากมีตามกระแสสังคม


แต่หากพ่อแม่รับรู้ถึงสิ่งที่ลูกเป็น และพยายามแก้ให้ถูกจุด ลูกๆที่เติบโตมาในสังคมใหม่ก็จะมีวัคซีนที่คอยคุ้มกันตัว และปรับตัวเข้ากับคนในสังคมได้ ...เริ่มต้นรับมือและฝึกลูกไว้ตั้งแต่เล็ก ๆ ก่อนที่จะสายเกินแก้นะคะ


ขอบคุณข้อมูลดีๆจาก th.theasianparent.com

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2559

7หลักเสริมลูกรักไม่หวั่นความผิดหวัง

7หลักเสริมลูกรักไม่หวั่นความผิดหวัง



7หลักเสริมลูกรักไม่หวั่นความผิดหวัง จากบทความน่าสนใจใน นสพ คมชัดลึก วันที่ 14 พฤษภาคม 2556 เราขอนำบทความนี้มานำเสนอให้กับคุณพ่อคุณแม่ เพื่อ
7หลักเสริมลูกรักไม่หวั่นความผิดหวัง
เรียนรู้วิธีสอนลูกๆที่กำลังโตขึ้น ให้รู้จักรับมือกับความพ่ายแพ้ และความผิดหวังในชีวิต ซึ่งจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่จะทำให้เขาผ่านวิกฤตต่างๆในชีวิตไปได้

สังคมยุคปัจจุบัน เป็นยุคที่มีการแข่งขันสูงและมีแนวโน้มที่จะแข่งขันกันอย่างเข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ จะเห็นได้จากการสอบชิงเข้าเรียนในชั้นอนุบาลของเด็กเล็ก หรือการเปิดรับสมัครเพื่อแข่งขันโชว์ความสามารถพิเศษของเด็กในระดับประถม-มัธยม และจากสภาพแวดล้อมเหล่านี้ ทำให้คุณพ่อคุณแม่ยุคใหม่มีความกังวล เพราะรู้ดีว่า การเลี้ยงดูลูกด้วยความรักเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะให้ลูกรักเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่งทั้งร่างกายและความคิดได้ จึงต้องอาศัย “ประสบการณ์ตรงจากโลกภายนอก” มาช่วยเพิ่มทักษะในการดำเนินชีวิตให้ลูกๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง “การรับมือกับความพ่ายแพ้และผิดหวัง” (more…)

พฤติกรรมของเด็กวัย 3-5 ปี

Thursday, November 1st, 2012

พฤติกรรมของเด็กวัย 3-5 ปี โดย พ.ญ. แก้วตา นพมณีจำรัสเลิศ
พฤติกรรมของเด็กวัย 3-5 ปี
สำหรับคุณพ่อคุณแม่ที่มีลูกอยู่ในวัยก่อนเข้าเรียนหรืออายุประมาณ 3-5 ขวบ เราได้นำบทความเกี่ยวกับ พฤติกรรมของเด็กในวัยนี้มาให้คุณพ่อคุณแม่ได้อ่านเป็นข้อมูลเสริมสำหรับการเลี้ยงดูแลลูก และทำให้เข้าใจธรรมชาติของเด็กได้มากขึ้น บทความนี้คัดมาจากบทความของ พ.ญ. แก้วตา นพมณีจำรัสเลิศ
พฤติกรรมของเด็กวัย 3-5 ปีชอบตั้งคำถาม เด็กในวัยนี้มีพัฒนาการทางภาษาค่อนข้างมาก สามารถเล่าเรื่องเป็นประโยคยาวๆได้ ร้องเพลงง่ายๆได้ ทำให้มักชอบตั้งคำถาม ช่างคิด ช่างสงสัยในสิ่งต่างๆ เริ่มช่วยเหลือตนเองได้ เช่น รับประทานอาหาร แต่งตัว ทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ ด้วยตนเอง และยังชอบช่วยผู้ใหญ่ทำงานเล็กๆน้อยๆ เราควรส่งเสริมให้เด็กเกิดความภูมิใจด้วยการชื่นชมในสิ่งที่เด็กทำ และให้ได้ลองทำสิ่งใหม่ๆด้วยตนเอง เล่นกับเพื่อน มักจะเล่นอยู่ในกลุ่มเพื่อน 2-3 คน ทำให้ได้เรียนรู้เงื่อนไขทางสังคมใหม่ๆที่นอกเหนือไปจากที่บ้าน เริ่มบอกความแตกต่างระหว่างเพศได้ Piaget นักจิตวิทยากลุ่มที่เน้นความรู้ความเข้าใจ (Cognitive) กล่าวว่า เด็ก 3-5 ขวบ เรียนรู้พฤติกรรมทางสังคมจากเพื่อนในโรงเรียนอนุบาลหรือเพื่อนบ้านวัยเดียวกัน แต่เด็กวัยนี้ยังเข้าใจถึงความถูกต้องและความผิดไม่ลึกซึ้งนัก มีจินตนาการ เด็กวัยนี้ชอบของเล่นที่ใช้ความคิด หากได้เล่นจินตนาการ หรือแสดงบทบาทสมมุติจะเล่นได้เรื่อยๆ เป็นสิ่งที่เราควรส่งเสริมเพราะช่วยให้เด็กได้มีจินตนาการ และเป็นการปลดปล่อย บางครั้งเวลาให้เล่าเรื่องอาจเป็นเรื่องจริงปนเรื่องสมมุติ พ่อแม่และผู้ปกครองควรต้องระวังไม่ให้กลายเป็นติดนิสัยโกหก โดยไม่ควรใช้วิธีดุว่าด้วยถ้อยคำรุนแรง แต่อาจใช้วิธีการทำให้เด็กรู้ว่ากำลังพูดเรื่องโกหก เช่น (more…)

พลังบวกพ่อแม่สร้างลูกฉลาด (บทความจาก โพสต์ทูเดย์)

Sunday, May 27th, 2012

พลังบวกพ่อแม่สร้างลูกฉลาด
พลังบวกพ่อแม่สร้างลูกฉลาด
เราได้อ่านบทความเกี่ยวกับการสร้างลูกให้ฉลาด เลยอยากนำมาเผยแพร่ให้คุณผู้ปกครองที่มีความสนใจ ในการพัฒนาลูกๆหรือเด็กเล็กๆ เป็นบทความจากโพสต์ทูเดย์ ซึ่งเราเข้าไปหาข้อมูลในเวบไซต์ สถาบันแห่งชาติเพื่อการพัฒนาเด็กและครอบครัว  เราจึงนำบทความนี้มาช่วยเผยแพร่ให้กับผู้สนใจต่างๆที่เข้ามาในเวบของเรา โดยท่านสามารถดาวน์โหลดบทความนี้ได้ตามลิงค์ด้านล่างสุดของบทความนี้คะ
พลังบวกพ่อแม่สร้างลูกฉลาด (บทความจาก โพสต์ทูเดย์ 26 มีนาคม 2555)
ปัจจุบันครอบครัวไทยเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม เป็นครอบครัวเดี่ยวมากขึ้น พ่อแม่ต้องเลี้ยงลูกควบคู่ไปกับการทำงานขณะเดียวกันแม่ได้รับบทบาทสำคัญในการดูแลและปลูกฝังลูก รวมทั้งต้องรับผิดชอบหลายด้าน เวลาที่มีให้กันภายในครอบครัวจึงน้อยลง ทำให้ขาดความเข้าใจ ขาดกำลังใจมองโลกในแง่บวกได้น้อยลง พลังบวกของแม่ลดลง จนกระทั่งเด็กในปัจจุบันกลายเป็นเด็กที่ขาดความสุข กดดันจากการถูกส่งต่อความคาดหวัง มองไม่เห็นศักยภาพของตัวเอง ติดเกม ติดเพื่อนเชื่อมั่นในตัวพ่อแม่น้อยลงเมื่อมีปัญหาจึงไม่ปรึกษาพ่อแม่ครอบครัวเริ่มห่างเหินและขาดความอบอุ่น
ทว่าเมื่อมองออกไปภายนอกครอบครัวโลกนี้ไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป การเปลี่ยนแปลงในทางร้ายๆ เริ่มเข้ามาเยือนมนุษย์มากขึ้นทุกที ภัยพิบัติร้ายแรงไม่ว่าจะน้ำท่วม แผ่นดินไหว ไฟป่า เกิดขึ้นจนเป็นเรื่องปกติการดำรงชีวิตให้อยู่รอดจึงไม่ใช่แค่ความเป็นคนเก่ง แต่คือคนที่มีจิตใจเข้มแข็งมีคุณธรรม และสามารถปรับตัวเพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สามารถคาดเดาล่วงหน้าได้ (more…)

คู่มือความรู้เพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ในเด็กอายุ 3-11 ปี สำหรับพ่อแม่/ผู้ปกครอง

Sunday, May 22nd, 2011

คู่มือความรู้เพื่อพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ในเด็กอายุ 3-11 ปี สำหรับพ่อแม่/ผู้ปกครอง
ความฉลาดด้านอารมณ์-เด็ก-เด็กอนุบาล-บทความ
เราได้นำบทความที่น่าสนใจสำหรับคุณพ่อคุณแม่ และผู้ปกครอง ในการฝึกและพัฒนาความฉลาดทางอารมณ์ของเด็ก (IQ and EQ) เป็นบทความจาก กรมสุขภาพจิต กระทรวงสาธารณสุข
ทักษะการอบรมสั่งสอนและการแนะนำ
คนทุกคนไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ หรือฉลากแค่ไหนก็ทำสิ่งผิดพลาดได้ทั้งนั้น ไม่มีใครสมบูรณ์แบบดังนั้น ควรใจเย็นๆ ค่อยๆ สอนลูก บอกเขาให้ชัดเจนว่าสิ่งที่ถูกต้องที่เขาควรทำนั้นคือ อะไร
หลักการสำคัญในการอบรมสั่งสอนและการแนะนำ
๑. หากจะสอนอะไร พยายามสอนตอนลูกอารมณ์ดี และสอนแบบการพูดคุย ถามความรู้สึกและเหตุผลของเขา ลูกจะฟังได้มากกว่า
๒. ให้โอกาสลูกได้เรียนรู้ความผิดพลาด หากเห็นว่าลูกทำอะไรไม่ถูกต้องหรือผิดพรากถ้าสิ่งนั้นไม่ใช่ความผิดพลาดรุนแรงที่จะส่งผลเสียหายอะไร พ่อแม่ไม่ควรเข้าไปขัดขวางการกระทำของลูกทันที เพราะจะเป็นการขัดขวางการเรียนรู้ตามธรรมชาติ ทำให้เด็กไม่ได้เรียนรู้ในการเผชิญปัญหา และแก้ไขปัญหาต่างๆ ด้วยตัวเอง เขาจะรู้สึกว่าต้องคอยพึ่งพาพ่อแม่ ยิ่งกว่านั้นการที่พ่อแม่ไมให้เด็กทำอะไรเอง ก็เท่ากับเป็นการบอกลูกว่าลูกไม่ดีพอ ไม่เก่งพอ และพ่อแม่ไม่เชื่องถือในตัวลูกเด็กจึงรู้สึกว่าตัวเองด้อยค่า (more…)

เสวนาเรื่อง “ เคล็ดลับครอบครัว…..ช่วยเสริมสร้าง ไอคิว อีคิว ลูก”

Sunday, April 24th, 2011

เสวนาเรื่อง “ เคล็ดลับครอบครัว…..ช่วยเสริมสร้าง ไอคิว อีคิว ลูก”
ไอคิว-เด็กเล็ก-kids-children-school-games-2
โดย นายแพทย์ดุสิต ลิขนะพิชิตกุล ผู้อำนวยการโรงพยาบาลยุวประสาทไวทโยปถัมภ์
นายวันชัย บุญประชา ผู้จัดการมูลนิธิเครือข่ายครอบครัว
นางสุชาดา กิจเจริญ บ้านกลมกิ๊ก
ผู้ดำเนินการอภิปราย แพทย์หญิงณัฏฐิณี ชินะจิตพันธุ์ สถาบันสุขภาพจิตเด็กและวัยรุ่นราชนครินทร์
จากข้อคำถามว่า ทำอย่างไรจะทำให้ลูกมีไอคิวและอีคิวดี ผู้ร่วมเสวนาได้ให้ข้อเสนอแนะ ดังนี้
พ.ดุสิต การเลี้ยงดูลูกนั้นต้องมองใน 3 ส่วน คือ bio Psycho social เด็กควรได้รับอาหารที่ดี เริ่มจากนมแม่ ไอโอดีน ส่งผลต่อพัฒนาการ ส่วนในเรื่องความอบอุ่นที่ได้จากแม่ขณะที่ให้ลูกดื่มนมนั้นเป็นส่วนที่เสริมความผูกพัน ส่งเสริมการสร้างอีคิวที่ดี การฝึกควบคุมอารมณ์ในเด็กควรเริ่มตั้งแต่เด็ก ๆ ให้เขาเรียนรู้การมีพฤติกรรมที่เหมาะสม การที่เด็กมีวุฒิภาวะที่เหมาะสม แสดงให้เห็นถึงการมีอีคิวที่ดี ส่วนเรื่องพัฒนาการสามารถดูเทียบจากสมุดพัฒนาการเด็กเล่มสีชมพู ที่ได้เมื่อไปรับวัคซีน (more…)

พัฒนาการของเด็ก

Sunday, August 1st, 2010

พัฒนาการเด็ก


เด็กปกติทั่วไปจะมีลำดับขั้นของพัฒนาการที่ใกล้เคียงกันในช่วงอายุต่างๆ
พัฒนาการเด็ก
 ดังนั้นถ้าเด็กมีพัฒนาการล่าช้าเกิน 6 เดือนขึ้นไปเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ย อาจจะถือว่ามีความผิดปกติบางอย่างที่คุณผู้ปกครองควรจะสอบถาม และขอคำแนะนำ จากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับพัฒนาการเด็ก เพื่อที่จะค้นหาสาเหตุ และแนวทางรักษาเพื่อที่จะกระตุ้นพัฒนาการของเด็กให้กลับมาเป็นปกติอย่างเร็วที่สุด ตารางด้านล่างแสดงพัฒนาการปกติในแต่ละช่วงวัยเป็นดังนี้

พัฒนาการเด็ก – ด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่ (Gross Motor Development)
ช่วงอายุของเด็กพัฒนาการของเด็กในด้านกล้ามเนื้อมัดใหญ่
แรกเกิด
1 เดือน
2 เดือน
4 เดือน
6 เดือน
9 เดือน
12 เดือน
15 เดือน
18 เดือน
2 ปี
3 ปี
4 ปี
5 ปี
งอแขนขา, เคลื่อนไหวเท่ากัน 2 ด้าน
หันหน้าซ้ายขวา
ชันคอ
ยกแขนดันตัวชูขึ้นในท่าคว่ำ
คว่ำหงายได้เอง
นั่งได้มั่นคง, คลาน, เกาะยืน
เกาะเดิน
เดินเองได้
วิ่ง, ยืนก้มเก็บของ
เตะลูกบอล, กระโดด 2 เท้า
ขึ้นบันไดสลับเท้า, ถีบรถ 3 ล้อ
ลงบันไดสลับเท้า, กระโดดขาเดียว
กระโดดสลับเท้า, เดินต่อเท้า

วันศุกร์ที่ 10 มิถุนายน พ.ศ. 2559

สอนเด็กให้ดี

สอนเด็กให้ดี ต้องไม่ตีไม


การดุด่าว่ากล่าวเด็กด้วยข้อหาเล็กๆ น้อยๆ ทุกย่างก้าวที่พลาดพลั้งไปนั้น รังแต่จะเป็นการทำให้เด็กต่อต้านแข็งขืนมากยิ่งขึ้นเสียเปล่า

แน่นอนว่าการฝึกเด็กให้มีวินัยนั้นเป็นสิ่งจำเป็น และจำเป็นอย่างยิ่งยวดที่ต้องกระทำอย่างระมัดระวัง นุ่มนวล และด้วยความรัก มิใช่อยากให้เด็กเป็นคนดี แล้วตะคอกเอาๆ

จะให้เด็กทำตัวดีมีวินัยได้อย่างไร ลองมาดูเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยสำหรับใช้สอนเด็กกัน จากเว็บไซต์ หนังสือพิมพ์ไทม์ออฟอินเดียของอินเดีย (http://timesofindia.indiatimes.com)

-    วิธีหนึ่งที่ง่ายและได้ผลคือลองยกตัวอย่างให้เด็กทำตาม เพราะเด็กมีแนวโน้มจะเลียนแบบผู้ใหญ่ ถ้าต้องการสร้างนิสัยให้เด็กทำอะไร ผู้ใหญ่ก็ต้องทำด้วย ยกตัวอย่างเรื่องทิ้งขยะลงถัง หรือทำเตียงให้ เรียบร้อยเมื่อลุกจากที่นอน เด็กก็จะเรียนรู้ได้โดยอัตโนมัติและทำตาม

-    ถ้าหากเด็กเป็นพวกชอบดื้อในที่สาธารณะ ผู้ใหญ่ต้องอดทนและบอกเหตุผลไปก่อน ถ้าเด็กยังไม่ เอาใจใส่ หรือทำพฤติกรรมไม่ดีอยู่อีก ให้เดินหนีห่างออกมา อย่างไรก็ตาม ต้องจำไว้ว่าจะไม่ขึ้นเสียงหรือตีเด็ก เพราะนั่นจะเท่ากับทำให้เด็กยิ่งลงไปชักดิ้นชักงอ เรียกร้องความสนใจมากขึ้น

-    ควรปฏิบัติกับเด็กเหมือนคนโตๆแล้วอยู่ เสมอ เพราะเด็กเองก็อยากได้รับความสำคัญจากผู้ใหญ่ ควรให้คำชมเด็กเมื่อเขาหรือเธอทำงานเสร็จเรียบร้อยดี รวมไปถึงการตัดสินใจเลือกอะไรต่างๆที่เหมาะสม เช่น กล่าวชมว่าเด็กแต่งตัวสวย หรือเลือกรองเท้าได้เหมาะดี เป็นต้น

-    พยายามอย่าดุด่าว่ากล่าวเด็ก หากระเบิดอารมณ์เสียออกมา นั่นจะเป็นการเผยจุดอ่อนและเด็กจะเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็วว่าจะเลือกใช้มันให้เกิดผลต่อไปอย่างไร นี่ยังรวมไปถึงเรื่องมารยาทที่ต้องสอนเด็กให้พูดแบบมีหางเสียง และรู้จักพูดขอโทษหากไปผลักโดนใคร

-    ถ้าเด็กประพฤติตัวไม่ดีต่อหน้าแขก อย่าตะโกนใส่เด็ก ควรรอจนกว่ากลับถึงบ้านแล้วอธิบายให้ฟังอย่างเข้มงวดว่าพฤติกรรมที่ทำลงไปแล้วนั้นไม่เป็นที่ยอมรับ และต้องเตือนด้วยว่าหากทำซ้ำอีกจะมีมาตรการขั้นเด็ดขาด

อย่าลืมว่าเด็กก็มีหัวใจ ไม่ใช่ว่าอยากให้ได้ดีแล้วทั้งตี ทั้งตะคอกใส่ แล้วอย่างนั้นจะไปได้ถึงไหนกัน.

ที่มา : ไทยรัฐออนไลน์   June 13, 2010, 3:33am